วันนี้ (10 กรกฎาคม 2567) เวลา 08.30 น. ทีมงานจากกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้มีการประชุมวางแผนหารือในช่วงเช้า ก่อนจะแบ่งภารกิจงานเพื่อลงพื้นที่ในการเปิดเวทีประชาคมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเศรษฐกิจชุมชนในระดับหมู่บ้านและชุมชน ซึ่งวันนี้มีเป้าหมาย จำนวน 4 ตำบลประกอบด้วย ตำบลเกตรี ตำบลคลองขุด ตำบลควนโพธิ์ และตำบลควนขัน ทุกตำบลอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสตูล ซึ่งการเปิดเวทีในครั้งนี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมเสนอความเห็นสิ่งที่ต้องการในชุมชน โดยมี ศอ.บต. เป็นผู้มอบแนวทางการดำเนินดังกล่าวให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากยิ่งขึ้น อาทิ ขอให้ยึดความต้องการของชาวบ้านเป็นหลัก กำหนดโซนการพัฒนา โครงการที่ดำเนินการต้องสร้างรายได้แก่ประชาชน ขอให้ส่งเสริมการตลาด นำการผลิต ทั้งภายใน และนอกประเทศ เป็นต้น

ทั้งนี้ ชาวบ้านในพื้นที่ ต่างดีใจที่รัฐบาลเห็นความสำคัญในการส่งเสริมอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ และได้เลือกจังหวัดสตูล ให้เป็นจังหวัดที่มอบโครงการลงมาพัฒนาชุมชน เพราะที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวห่างหายจากพื้นที่ไปหลายปี จนถึงวันนี้เริ่มมีอีกครั้ง รู้สึกดีใจ และต่างชื่นชมรัฐบาลว่า แก้ปัญหาความยากจนได้อย่างตรงจุด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต

ด้าน ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่ ได้ขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะกำนันผู้ใหญ่บ้าน เชื่อมั่นว่า โครงการนี้จะเปลี่ยนแปลง พลิกฟื้น และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน มากกว่า 36 ตำบล ของจังหวัดสตูลอย่างแน่นอน

ด้านผู้แทน ศอ.บต. ได้ขอบคุณประชาชนที่ได้เชื่อมั่นรัฐบาลในการแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะบัณฑิตอาสาพัฒนามาตุภูมิ ถือเป็นเจ้าหน้าที่ ศอ.บต. ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนและรู้ปัญหาของประชาชนมากที่สุด หลังจากนี้ไปบัณฑิตอาสาฯ ต้องเป็นแม่งานหลักในการทำโครงการฯให้สำเร็จ พร้อมเสนอไปยังอำเภอให้อนุมัติโครงการและนำมาสร้างอาชีพแก่ชุมชนต่อไป

วันนี้ (10 กรกฎาคม 2567) นายรอมดอน หะยีอาแว ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กรมการปกครอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เยียวยาจังหวัด/อำเภอ ลงพื้นที่บ้านเลขที่ ๑๐๐ หมู่ที่ ๓ ตำบลม่วงเตี้ย อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี เพื่อเข้าเยี่ยมครอบครัวของนายรอสือดี เจะโน อายุ 47 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลม่วงเตี้ย อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 จากเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดลอบยิงขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ บนภนนบ้านตันหยง หมู่ที่ 3 ตำบลม่วงเตี้ย อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี

นายรอมดอน หะยีอาแว ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้กล่าวแสดงความเสียใจ พร้อมให้กำลังใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกคนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงและทำให้ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก ในส่วนของสิทธิการช่วยเหลือเยียวยานั้นภาครัฐพร้อมให้การดูแลอย่างสุดความสามารถทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการศึกษาของบุตรและการบรรจุทายาทต่อไป

ด้านภรรยาของนายรอสือดี เจะโน ดีใจและขอบคุณที่ภาครัฐพร้อมให้ได้การช่วยเหลืออย่างดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าร้ายแรงมากกับครอบครัวของตนแรกๆ ทำใจไม่ได้เลย เพราะขาดเสาหลักของครอบครัวไป แต่หลังจากนี้จะทำหน้าที่ดูแลลูกทั้ง 4 คนเองอย่างดีที่สุด

ในการนี้ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ยังได้มอบข้าวสารจำนวน 1 กระสอบ และเงินช่วยเหลือในนามเลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย

สำหรับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาศอ.บต. โดยจังหวัดปัตตานี จะมีการมอบเงินช่วยเหลือเยียวยากรณีเสียชีวิต จำนวน 500,000 บาท โดยมอบให้แก่ทายาท จำนวน 5 ราย แบ่งส่วนเท่าๆกัน คือ ภรรยา และบุตร จำนวน 4 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ และจะได้รับสิทธิการช่วยเหลืออื่นๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

วันนี้ (10 ก.ค. 2567) เวลา 09.00 น. สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ จัดโครงการสิทธิมนุษยชนสำหรับพระสงฆ์ผู้เยียวยาจิตใจ ณ วัดมุจลินทวาปีวิหาร (วัดตุยง) อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อให้พระสงฆ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรู้ ตระหนักในหลักสิทธิมนุษยชน มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานภาครัฐ และหลักการรักษาเยียวยาจิตใจทางการแพทย์ เพื่อให้คำปรึกษาแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ พร้อมให้พระสงฆ์เป็นส่วนหนึ่งในการเฝ้าระวังสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยภายในกิจกรรมมีพระสงฆ์จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และ 4 อำเภอจังหวัดสงขลาเข้าร่วมรับฟังหลักการสิทธิมนุษยชนดังกล่าว โดยมีนายพิทยา จินาวัฒน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เป็นประธานเปิดโครงการ และมีพระสิริจริยาลังการ รองเจ้าคณะสงฆ์ ภาค 18 และเจ้าอาวาสวัดตานีนรสโมสร อ.เมือง จ.ปัตตานี ร่วมบรรยายบทบาทของพระสงฆ์ในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้มีพลเอก มณี จันทร์ทิพย์ ที่ปรึกษากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเกียรติร่วมโครงการในครั้งนี้ด้วย

นอกจากนี้ภายในกิจกรรมยังมีการบรรยายถวายความรู้แด่พระสงฆ์เกี่ยวกับหลักการสิทธิมนุษยชน ความรู้ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาจิตใจ ความรู้เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรม และการช่วยเหลือเยียวยาตามกฎหมายของหน่วยราชการ พร้อมจัดกิจกรรมเสริมทักษะการให้คำปรึกษาและแนะนำประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ

สำหรับโครงการสิทธิมนุษยชนสำหรับพระสงฆ์ผู้เยียวยาจิตใจนี้ ดำเนินการขึ้นเนื่องจากผู้จัดเล็งเห็นว่า พระสงฆ์เป็นหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจของประชาชน ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับพุทธศาสนิกชน และเป็นการถวายเพิ่มพลัง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการยึดเหนี่ยวและช่วยเหลือเยียวยาจิตใจของประชาชน เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีจำนวนลดลง เกิดจากโยกย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าว มีกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 13 ก.ค. 2567

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ ศูนย์ขับเคลื่อนการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ “สัญจร” ครั้งที่ 3 ณ ห้องประชุมชั้น 2 ศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศอย่างถูกต้อง ตามแผนการสนับสนุนการศึกษาของนักเรียนและนักศึกษาไทยมุสลิมที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ พ.ศ. 2566 – 2570 โดยมีนายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ศอ.บต. และพญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้ง นายกสมาคมสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนภาคใต้ นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดยะลา ผู้แทนหน่วยงานการศึกษาในจังหวัดยะลา และนายกสมาคมศิษย์เก่าไทยอินโดนีเซีย ร่วมกิจกรรมฯ

ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย ครูแนะแนว และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนในจังหวัดยะลา รวมจำนวน 450 คน พร้อมตั้งเป้าจัดกิจกรรมนี้อีก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดปัตตานี สงขลา และนราธิวาส ตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วม 1,780 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสศึกษา สร้างความเข้าใจก่อนเดินทางไปเรียนในต่างประเทศ

สำหรับกิจกรรมสร้างการรับรู้ด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ “สัญจร”มีผู้แทนศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดร.จิรภัค สุวรรณเจริญ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ศอ.บต. ได้บรรยายให้ความรู้การดูแลนักเรียน นักศึกษาที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ และการรับรองคุณวุฒิการศึกษา รวมทั้งช่องทางการประกอบอาชีพ ภายหลังสำเร็จการศึกษา นอกจากนี้ยังมี ผู้แทนมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนต่ออียิปต์อย่างไรให้ไฉไล จบไปได้งาน ด้านนายกสมาคมศิษย์เก่าไทยอินโดนีเซีย ให้ความรู้เรื่องการเตรียมความพร้อมก่อนไปศึกษาต่อต่างประเทศ นอกจากนี้ ภายในกิจกรรม ยังมีการเสวนา นักศึกษาไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศอียิปต์ ทูร์เคีย อินโดนีเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การใช้ชีวิตในต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ (Zoom) จากต่างประเทศ

วันนี้ (9 กรกฎาคม 2567) เวลา 19.10 น. ที่ โรงแรมบีพีสมิหลา อ.เมือง จ.สงขลา พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบปะบัณฑิตอาสาพัฒนามาตุภูมิในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส ภายใต้กิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของบัณฑิตอาสาฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 กรกฎาคม 2567 โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ฝึกทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติงานและสร้างภาวะการเป็นผู้นำในการจัดกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับพื้นที่ ตลอดจนการฝึกอบรมทักษะเพื่อยกระดับสู่การเป็นนักจัดการและนวัตกรชุมชน โดยมีวิทยากรผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจากเครือข่ายสมาคมพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้แก่ งานออกแบบหลักสูตรพัฒนาบุคลากร บริษัทศูนย์วิชาการอาคเนย์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา และคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวพบปะพร้อมมอบนโยบายแนวทางการขับเคลื่อนงานแก่บัณฑิตอาสาฯ ในตอนหนึ่งว่า บัณฑิตอาสาถือเป็นสมาชิกครอบครัว ศอ.บต. มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2552 ดีใจที่มีโอกาสได้พบปะกันในกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่บัณฑิตอาสาได้ทำงานให้กับพื้นที่ในนาม ศอ.บต. ที่ขาดไม่ได้เลยคือการทำงานต้องมีการพัฒนาทักษะ ระยะเวลาที่ผ่านไปในแต่ละปี มีเนื้อหามีประเด็นใหม่ๆที่บัณฑิตอาสาควรได้รับการส่งเสริม ได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัณฑิตอาสาถือว่ามีส่วนสำคัญในการบริหารพื้นที่จึงเป็นข้อต่อที่สำคัญ ในการพัฒนาและบริหารจัดการในระดับหมู่บ้าน รูปแบบการจัดการ รูปแบบของการแก้ไขปัญหาต่างๆนั้นต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง วิทยากรที่มาให้ความรู้ในครั้งนี้ก็มีความชำนาญและผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะสามารถเพิ่มองค์ความรู้เพื่อนำไปใช้ในการทำงานได้ เชื่อมั่นในศักยภาพของบัณฑิตอาสาว่าทำได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม บัณฑิตอาสาถือเป็นแกนหลักในการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชาชนในพื้นที่ หมู่บ้าน ตำบล เป็นผู้ช่วยประจำพื้นที่ในการร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์หรือนโยบายผู้บริหารของ ศอ.บต. และทำหน้าที่ในการเป็นผู้รับชอบจัดเก็บรวบรวมสอบทานข้อมูลของหมู่บ้าน สนับสนุนภารกิจ การติดตามผลการดำเนินงาน การประเมินผลโครงการ กิจกรรมของหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ และสามารถนำข้อมูลมาปรับปรุง ประยุกต์ด้านการพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้

สำหรับภารกิจการลงพื้นที่ เพื่อเปิดเวทีประชาคมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเศรษฐกิจชุมชนในระดับหมู่บ้านและชุมชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนในพื้นที่จังหวัดสตูล ทั้งหมด 36 ชุมชน เพื่อให้ทุกคนได้เสนอปัญหาความต้องการแล้วจัดทำเป็นแผนงานโครงการเสนอผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนในอนาคต

และวันนี้ (9 กรกฎาคม 2567) ซึ่งเป็นวันที่ 2 ในการลงพื้นที่เปิดเวทีประชาคม โดยเจ้าหน้าที่ กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้มีการเลือกเป้าหมาย 2 พื้นที่ประกอบด้วย หมู่ 2 ตำบลปูยู และ หมู่ 2 ตำบลตำมะลัง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล

สำหรับ ตำบลปูยู และตำบลตำมะลัง เป็นเกาะที่อยู่ติดกับประเทศมาเลเซีย โดยมีประชากรอยู่ประมาณ 3,000 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงและทำอาชีพเลี้ยงกั้ง ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเกาะทั้ง 2 พื้นที่ เป็นตำบลที่อยู่บนเกาะ และเป็นเกาะต้นแบบในการท่องเที่ยวแบบชุมชนที่อยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่เพื่อเปิดเวทีประชาคมในครั้งนี้ พบว่า ทั้ง 2 พื้นที่ ต้องการต่อยอดการเสริมอาชีพประมงแบบพอเพียงให้แก่ครอบครัว ซึ่งถือว่าผ่านการโหวตแบบลงมติด้วยชาวบ้านในขุมชนที่ร่วมกันตั้งใจเลือก โดยส่วนใหญ่อยู่แบบพอเพียง กินอย่างพอเพียง ใช้อย่างพอเพียงไม่เป็นหนี้